ยางผ้าใบกับยางเรเดียล แตกต่างกัน คือ
ลักษณะโครงสร้าง ยางผ้าใบ ประกอบด้วย ผ้าใบที่นำมาเรียงซ้อนกันในลักษณะเฉียงไปมาหลายชั้น โดยหน้ายาง กับแก้มยางเป็นชิ้นเดียวกันตลอดทั้งเส้น ส่วนยางเรเดียล ประกอบด้วย โครงยางที่เป็นเส้นลวดชั้นเดียว และมีเข็มขัดรัดหน้ายางเพิ่มความแข็งแรง ในส่วนของหน้ายาง กับแก้มยาง อิสระจากกัน
ลักษณะการใช้งาน
ยางผ้าใบ โดยปกติเมื่อรถวิ่ง ยางจะมีการยืดหยุ่นของแก้มยางตลอดเวลา และเมื่อหน้ายางและแก้มยาง เป็นชิ้นเดียวกันทำให้เวลาใช้งานในขณะที่แก้มยางกดลงมาจะทำให้ตรงกลางของหน้ายางยกตัวขึ้น และเมื่อแก้มยางยกตัวกลับก็จะทำให้หน้ายางด้านข้างทั้งสองด้านมีการยกลอยขึ้น ซึ่งการยืดหดตัวของโครงยางดังที่อธิบายมานี้ ทำให้พื้นที่สัมผัสถนนของหน้ายางไม่สม่ำเสมอและไม่เต็มหน้ายาง การยึดเกาะก็จะน้อยลงไปด้วยทำให้ความปลอดภัยก็จะลดลง และยางจะสึกหรอเร็วเพราะเกิดความร้อนได้ง่ายจากการที่ต้องยืดและหดตัวไปมาตลอดเวลา
ยางเรเดียล จากการที่แก้มยางกับหน้ายาง อิสระจากกันทำให้เวลาวิ่งพื้นที่หน้ายางสัมผัสกับถนนได้เต็มที่กว่า ทำให้การยึดเกาะของยางทำได้ดีกว่า และการที่หน้ายางยืดหดตัวน้อยกว่าทำให้สึกหรอช้ากว่า และด้วยเข็มขัดรัดหน้ายางก็ทำให้ปัญหาการโดนบาดตำหน้ายางลดลงด้วย
ดังนั้น ยางเรเดียลจึงมีประสิทธิ์ภาพในการใช้งานที่ดีกว่า ถึงแม้นว่าราคต่อเส้นจะแพงกว่า แต่เมื่อคิดออกมาเป็นบาทต่อกิโลเมตรที่วิ่ง ก็จะเห็นได้ว่ายางเรเดียลนั้นคุ้มค่ามากกว่าครับ
ที่มา : eurotyre-th.com
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555
Choosing the Right Type of Truck Tires
Before plunging headfirst into the sea of Off Road truck tires and coming out with the meanest, most intimidating monsters you can find, you have to at least know what type of monsters will best suit your Off Road needs. First and foremost, you need to ask yourself a few questions. What type of Off Road activities will I be doing the most? How much on-road and Off Road driving will I do? What qualities in particular am I most concerned with -- durability, performance, traction, appearance, ride quality? How much am I willing to spend? Taking some time to consider these important questions can help to narrow down what type of truck tires are best for you.

All Season Tires
All season truck tires usually have no business going Off Road, as their composition and tread designs are not built to handle beatings from Off Road conditions. They do, however, provide long-lasting tread that excels on wet or dry paved roads and offers tremendous longevity. Most stock vehicles come equipped with all season tires. For vehicle enthusiasts adding larger truck tires just for show, all-season truck tires are likely the most efficient way to go. Granted, you won’t get that aggressive look that’s quite popular as of late, but that may be a small price to pay for truck tires that will last you tens of thousands of miles longer than more aggressive truck tires.

All Terrain Truck Tires
Versatility is the name of the game when it comes to all terrain truck tires, which typically makes them a jack of all trades but a master of none. As a result, a broad range of all terrain truck tires are available, based on whether a tire’s focus is on or Off Road performance. Typically, all terrain truck tires are built with Off Road standards in mind and then are modified in certain areas to improve street performance. The end result is truck tires that can handle everyday driving, as well as some light to moderate Off Road conditions. For the most extreme Off Road performance, all terrains won’t perform as well as specialized Off Road truck tires, but on the road, they offer peerless longevity, even wear, and excellent durability.

Extreme (Rock Crawling/Mud Terrain/Sand/Deep Snow) Truck Tires
Designed for extreme Off Road conditions and little else, rock crawling and mud terrain truck tires employ aggressive tread designs that extend to the sidewalls, giant lugs with deep voids, and reinforced sidewall construction to create tires that will grip any surface and remain durable in the process. Extreme terrain truck tires typically carry many of the same features, and consequently many mud terrain tires make excellent rock crawling tires, and vice versa. Extreme terrain truck tires come in either radial or bias ply, but do their job best in a low air pressure bias ply, which allows the tread to conform to surfaces for increased traction. Yet despite that extreme terrain tires are composed of durable, cut and puncture resistant compounds, they usually do not produce very much mileage when driven on the street, particularly at high speeds. In addition, due to the wild tread designs and huge lugs, extreme terrain tires can cause a bumpy ride and are quite noisy on the road.
Credit by 4wheelparts.com

All Season Tires
All season truck tires usually have no business going Off Road, as their composition and tread designs are not built to handle beatings from Off Road conditions. They do, however, provide long-lasting tread that excels on wet or dry paved roads and offers tremendous longevity. Most stock vehicles come equipped with all season tires. For vehicle enthusiasts adding larger truck tires just for show, all-season truck tires are likely the most efficient way to go. Granted, you won’t get that aggressive look that’s quite popular as of late, but that may be a small price to pay for truck tires that will last you tens of thousands of miles longer than more aggressive truck tires.

All Terrain Truck Tires
Versatility is the name of the game when it comes to all terrain truck tires, which typically makes them a jack of all trades but a master of none. As a result, a broad range of all terrain truck tires are available, based on whether a tire’s focus is on or Off Road performance. Typically, all terrain truck tires are built with Off Road standards in mind and then are modified in certain areas to improve street performance. The end result is truck tires that can handle everyday driving, as well as some light to moderate Off Road conditions. For the most extreme Off Road performance, all terrains won’t perform as well as specialized Off Road truck tires, but on the road, they offer peerless longevity, even wear, and excellent durability.

Extreme (Rock Crawling/Mud Terrain/Sand/Deep Snow) Truck Tires
Designed for extreme Off Road conditions and little else, rock crawling and mud terrain truck tires employ aggressive tread designs that extend to the sidewalls, giant lugs with deep voids, and reinforced sidewall construction to create tires that will grip any surface and remain durable in the process. Extreme terrain truck tires typically carry many of the same features, and consequently many mud terrain tires make excellent rock crawling tires, and vice versa. Extreme terrain truck tires come in either radial or bias ply, but do their job best in a low air pressure bias ply, which allows the tread to conform to surfaces for increased traction. Yet despite that extreme terrain tires are composed of durable, cut and puncture resistant compounds, they usually do not produce very much mileage when driven on the street, particularly at high speeds. In addition, due to the wild tread designs and huge lugs, extreme terrain tires can cause a bumpy ride and are quite noisy on the road.
Credit by 4wheelparts.com
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การบำรุงรักษายางรถยนต์

รถยนต์ที่สามารถวิ่งอยู่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์นั้น ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์มีความสำคัญยิ่งทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ระบบช่วงล่าง และยาง รถยนต์
แต่วันนี้เราจะขอพูดเรื่องของยางรถยนต์ และวิธีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า ที่เราสวมใส่ ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาจจะทำให้ผู้ใส่เกิดอาการเจ็บเท้าหรือเดินไม่ถนัด ทำให้เสียบุคลิกในการเดินได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะยางรถยนต์จะต้องหมุนไปตลอด เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ยางรถยนต์ทำหน้าที่ รองรับน้ำหนักรถ และน้ำหนักบรรทุก ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ทำหน้าที่ส่งแรงม้าจากเครื่องยนต์ สู่พื้นผิวถนนและยึดเกาะถนนในการเข้าโค้ง
ยางรถยนต์ จะมีประโยชน์และให้สมรรถนะสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับ การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย การตรวจยางในชั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็คือ เรื่องการวัดลมยางหรือการสูบลมยาง สาเหตุที่ต้องวัด หรือสูบ หรือเติมลมยางเข้าไปเนื่องจาก ยางรถยนต์ของรถแต่ละประเภท แรงดันของลมในยาง จะไม่เท่ากันซึ่งต้องดูถึงสภาพของรถที่ท่านใช้ด้วย อย่างเช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ ส่วนยางของรถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดของยาง และจำนวนชั้นของผ้าใบ ถ้ายางที่มีจำนวนชั้นผ้าใบน้อย ถ้าเติมลมมากไป อาจจะทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้
ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์
1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย
ที่มา : phithan-toyota.com
ยางกับการจอด

เป็นไปไม่ได้ที่การจอดรถทุกครั้ง จะเป็นพื้นที่เรียบตลอด ตามถนนหนทางหรือแม้แต่ตรอก ซอยต่างๆ จะมีขอบของถนน, ช่องระบายน้ำ, ลูกระนาดและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ตัวมันหรือลักษณะของมันจะไม่เรียบตรง พร้อมกับมีความแข็ง ดังนั้น เมื่อรถจอดทับแล้ว จะไม่มีการเสียรูปแต่อย่างใด แต่กลับว่าตัวรถยนต์ชำรุดแทนนั่นก็คือ “ยางล้อรถยนต์”
การจอดรถในแต่ละครั้งมีนานบ้าง เร็วบ้าง แตกต่างกัน หากมีการจอดที่นานมากๆ ควรหาพื้นที่เรียบ เพื่อที่จะไม่ทำให้ยางชำรุด (เสียรูป) หากลองสังเกตให้ดี จะพบว่า เมื่อจอดรถตรงร่องของท่อระบายน้ำ สังเกตตรงแก้มยาง จะเห็นว่ายางแบน ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหน้าสัมผัสยางกับพื้นตรงนั้น ไม่สมดุล ทำให้มองเห็นอย่างนั้น ถ้าเป็นการจอดนานบวกกับลมยางที่อ่อน ทำให้ยางชำรุดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไหนจะน้ำหนักของรถยนต์ทั้งหมดกดลงบนยางอีก ยิ่งเพิ่มภาระให้กับยาง
นอกจากยางจะเสียรูปแล้ว บางครั้ง อาจทำให้ยางรั่วได้ ในการนี้ขอกล่าวในกรณีจอดรถบริเวณท่อระบายน้ำเท่านั้น สิ่งที่มีอาจมองข้ามได้ ก็คือสิ่งต่างๆที่อยู่บนถนนกระเด็นมา, ปลิวมา หรือ ไหลมากับน้ำ อะไรทำนองนี้ มาติดอยู่ที่ยาง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก, ตะปู, ลวด, ขวด, แก้ว และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่สามารถตำทะลุยางได้ เมื่อเราต้องการใช้รถ แล้วขยับรถยนต์ออกจากจุดจอด ก็บดทับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อใช้รถยนต์ระยะเวลาหนึ่ง ลมยางล้อรถยนต์จะน้อยลงเรื่อยๆ จนแบน พฤติกรรมของผู้ขับขี่ส่วนมาก ไม่มีใครก้มลงดูบริเวณยางอยู่แล้ว ดังนั้น ในการเลือกที่จอด ควรพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ก็ดีต่อยางยิ่งขึ้น
อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าจอดรถบนพื้นที่เรียบ แต่หากจอดเป็นระยะเวลาที่นานมากๆควรให้ล้อรถยนต์เปลี่ยนตำแหน่งหน้าสัมผัสยางกับถนนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับยาง ถึงแม้จะเป็นยางใหม่ก็ตามก็อาจเกิดขึ้นได้ การรับประกันยางมีอยู่ก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เคลมได้น้อยมากหรือยากมาก และใช้เวลาในการตรวจสอบก็ใช้เวลาหลายวัน ซึ่งข้อจำกัดของการรับประกัน (ยาง) มีอยู่หลายข้อและ จะไม่อยู่ ภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน
ยางได้รับความเสียหายจากการใช้งานบนท้องถนนตามปกติ เช่น บาด, ตำทะลุ หรือ บวม เนื่องจากการกระแทก
ยางที่ถอด-ประกอบใส่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ระหว่างยางกับกระทะล้อ
ยางที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากความผิดปกติของช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างและศูนย์ล้อ
ยางที่ติดตั้งหรือใช้กับวาล์ว กระทะล้อ หรือ ล้อไม่เหมาะสมตามประเภทยาง
รถที่มีการบรรทุกน้ำหนัก หรือ ใช้ความเร็วเกินพิกัดที่ระบุไว้ตรงแก้มยาง หรือ ตามคำแนะนำ สำหรับรถประเภทนั้นๆ
ยางเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และนำมาซื้อขายใหม่
ยางที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี
ยางที่ไม่ได้ใช้งานตามคำแนะนำทางเทคนิคของบริษัทผู้ผลิต
ยางที่เสียหายจากอุบัติเหตุ, ไฟไหม้, สารเคมี หรือ มีการปรับแต่งช่วงล่างของรถ
ยางที่ไม่ได้ซื้อมาจากตัวแทนจำหน่ายยางโดยตรง
ยางที่เสียหาย เนื่องจากสภาพอากาศและผลกระทบจากบรรยากาศ
เห็นไหมครับว่า ข้อกำหนดดังกล่าวโดยรวมแล้ว ท่านเจ้าของรถจะต้องดูแลเอาใจใส่ยางพอสมควร ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นว่า แม้กระทั่งการจอดรถก็ต้องพิจารณา เพราะอยู่ภายใต้ ข้อกำหนดของการรับประกันนั่นเอง หากเป็นรถใหม่ที่ออกจากตัวแทนจำหน่าย แล้วมีปัญหาเกี่ยวกับยาง ทางศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆก็ต้องเข้ามาดูแลให้ท่านอยู่แล้ว แต่การพิจารณาการอนุมัติเคลมยางว่าได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับบริษัท ผู้ผลิตยางนั้นๆครับ ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้รถยนต์อย่างมีความสุขมากๆ ครับ
มองให้ดี กับที่จอด
แผนกเทคนิคและฝึกอบรม
บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)
แรงดันลมยาง
แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง
หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
บางคนรู้สึกยางอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
เดินทางไกล เติมแรงดันลมเพิ่ม
ควรเติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนอันเนื่องมาจากการบิดตัวของแก้มยาง อาจตรงข้ามกับความคิด ที่ผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและแรงดันเพิ่มขึ้นจากหลักการของก๊าชอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดัน ลมยางจากปกติ ซึ่งไม่ถูกต้อง หากมีการลดแรงดันลมยางต่ำกว่าค่าแรงดันลมยางปกติในการเดินทางไกล โครงสร้างของยางมีโอกาสการเสียรูปสูง อันเนื่องมาจากการบิดตัวของ แก้มยางต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และทำให้อุณหภูมิของยางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสการเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิดได้ นอกจากนี้ยังทำให้ยางมีอายุการใช้งานสั้นลงมากอีกด้วย
วิธีที่ถูกต้อง คือ เมื่อเดินทางไกล ควรเติมลมยางมากกว่าปกติ 2-3ปอนด์/ตารางนิ้ว แรงดันลมที่เพิ่มขึ้นจะช่วยต้านการบิดตัวของแก้มยางน้อยลง ทำให้ไม่เกิดความร้อนมากเกินไปขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิด
**เมื่อเสร็จจากการเดินไกลแล้ว ก็ควรลดแรงดันลมยางมาเป็นแรงดันลมปกติ**
ยางอะไหล่ต้องพร้อม
ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้ว เมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ
หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
บางคนรู้สึกยางอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
เดินทางไกล เติมแรงดันลมเพิ่ม
ควรเติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนอันเนื่องมาจากการบิดตัวของแก้มยาง อาจตรงข้ามกับความคิด ที่ผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและแรงดันเพิ่มขึ้นจากหลักการของก๊าชอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดัน ลมยางจากปกติ ซึ่งไม่ถูกต้อง หากมีการลดแรงดันลมยางต่ำกว่าค่าแรงดันลมยางปกติในการเดินทางไกล โครงสร้างของยางมีโอกาสการเสียรูปสูง อันเนื่องมาจากการบิดตัวของ แก้มยางต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และทำให้อุณหภูมิของยางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสการเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิดได้ นอกจากนี้ยังทำให้ยางมีอายุการใช้งานสั้นลงมากอีกด้วย
วิธีที่ถูกต้อง คือ เมื่อเดินทางไกล ควรเติมลมยางมากกว่าปกติ 2-3ปอนด์/ตารางนิ้ว แรงดันลมที่เพิ่มขึ้นจะช่วยต้านการบิดตัวของแก้มยางน้อยลง ทำให้ไม่เกิดความร้อนมากเกินไปขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิด
**เมื่อเสร็จจากการเดินไกลแล้ว ก็ควรลดแรงดันลมยางมาเป็นแรงดันลมปกติ**
ยางอะไหล่ต้องพร้อม
ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้ว เมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
ความแตกต่างระหว่างยางผ้าใบกับยางเรเดียล

ยางเรเดียล เป็น ยางรถยนต์มิได้เป็นแค่เพียงเบาะรองล้อ หากมีหน้าที่ที่ทำให้รถเกาะถนนที่ลื่นและต้องไม่ทำให้รถแฉลบไปมา เมือห้ามล้อหรือเลี้ยว ยางรถยนต์ทั่วไปมีลวดลายเรียกว่าดอกยาง(tyre threads) ดอกยาง ประกอบด้วยรอยบากเป็นช่องแคบๆ(sipes) และคดหยักเป็นรูปฟันปลา ทั้งนี้เพื่อช่วยซับน้ำที่ผิวถนนและปล่อยน้ำออกไปทางด้านหลังในขณะที่ล้อแล่นไปข้างหน้า เมื่อแล่นไปบนถนนที่เปียกแฉะ ยางต้องเคลื่อนย้าย น้ำออกมากกว่า 5ลิตร/วินาทีเพื่อให้รถเกาะถนนได้ดีพอ เมื่อรถแล่นไปบนถนนที่แห้งสนิท ดอกยางก็ไม่จำเป็น ยางเกลี้ยงทำให้ผิว หน้ายางสัมผัสกับถนนมากที่สุด แต่ถ้าใช้ยางเกลี้ยงในเวลามีฝน น้ำบน พื้นถนนจะรวมตัวเป็นผืนที่หน้าล้อและใต้ล้อเป็นเบาะรองล้อเอาไว้(aquaplaning) จนราวกับว่ารถแล่นไปบนผืนน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ขับขี่ย่อมบังคับรถไม่อยู่ รถส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติงานในทุกสภาพอากาศ ยางจึงต้องมีดอก ต่างจากรถแข่งซึ่งออกวิ่งเพียงปีละไม่กี่ครั้ง ถ้าหากทางวิ่งแห้ง รถแข่งจะใช้ยางเกลี้ยง(slick)เพื่อให้เกาะถนนได้ดีที่สุด ล้อรถแข่งมีหน้ายางกว้างเป็นพิเศษทำให้เกาะถนนได้ดีกว่ารถธรรมดาทั่วไป แต่ในเวลาที่มีฝนตก รถแข่งก็ต้องเปลี่ยนจากยางเกลี้ยงเป็นยางมีดอก ยางผ้าใบกับยางเรเดียล แตกต่างกัน คือ ลักษณะโครงสร้าง ยางผ้าใบ ประกอบด้วย ผ้าใบที่นำมาเรียงซ้อนกันในลักษณะเฉียงไปมาหลายชั้น โดยหน้ายาง กับแก้มยางเป็นชิ้นเดียวกันตลอดทั้งเส้น ส่วนยางเรเดียล ประกอบด้วย โครงยางที่เป็นเส้นลวดชั้นเดียว และมีเข็มขัดรัดหน้ายางเพิ่มความแข็งแรง ในส่วนของหน้ายาง กับแก้มยาง อิสระจากกัน
ลักษณะการใช้งาน
ยางผ้าใบ โดยปกติเมื่อรถวิ่ง ยางจะมีการยืดหยุ่นของแก้มยางตลอดเวลา และเมื่อหน้ายางและแก้มยาง เป็นชิ้นเดียวกันทำให้เวลาใช้งานในขณะที่แก้มยางกดลงมาจะทำให้ตรงกลางของ หน้ายางยกตัวขึ้น และเมื่อแก้มยางยกตัวกลับก็จะทำให้หน้ายางด้านข้างทั้งสองด้านมีการยกลอย ขึ้น ซึ่งการยืดหดตัวของโครงยางดังที่อธิบายมานี้ ทำให้พื้นที่สัมผัสถนนของหน้ายางไม่สม่ำเสมอและไม่เต็มหน้ายาง การยึดเกาะก็จะน้อยลงไปด้วยทำให้ความปลอดภัยก็จะลดลง และยางจะสึกหรอเร็วเพราะเกิดความร้อนได้ง่ายจากการที่ต้องยืดและหดตัวไปมา ตลอดเวลา
ยางเรเดียล จากการที่แก้มยางกับหน้ายาง อิสระจากกันทำให้เวลาวิ่งพื้นที่หน้ายางสัมผัสกับถนนได้เต็มที่กว่า ทำให้การยึดเกาะของยางทำได้ดีกว่า และการที่หน้ายางยืดหดตัวน้อยกว่าทำให้สึกหรอช้ากว่า และด้วยเข็มขัดรัดหน้ายางก็ทำให้ปัญหาการโดนบาดตำหน้ายางลดลงด้วย
ดัง นั้น ยางเรเดียลจึงมีประสิทธิ์ภาพในการใช้งานที่ดีกว่า ถึงแม้นว่าราคต่อเส้นจะแพงกว่า แต่เมื่อคิดออกมาเป็นบาทต่อกิโลเมตรที่วิ่ง ก็จะเห็นได้ว่ายางเรเดียลนั้นคุ้มค่ามากกว่าครับ
ที่มา : chanachai from MeSutStudent.com
ยางผ้าใบ
ทนทานต่อการสึกหรอใด้ต่ำโดยเฉพาะเมื่ออุณภูมิสูง กระจายแรงกดใด้ไม่สม่ำเสมอ ความนุ่มนวลในการขับขี่ต่ำเพราะแก้มยางยืดหยุ่นตัวใด้น้อย ก่อให้เกิดร่องรอยกรณีที่ผิวทางใม่แข็งแรงเพียงพอ แรงต้านทานการหมุนสูงทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน เกิดความร้อนสะสมในยางสูง เกิดรูพรุนใด้ง่ายจากการกระจายแรงกดใด้ไม่เท่ากัน
ยางเรดียล
ลดความเสี่ยงของยางทะลุ เนื่องจากแรงกดที่ถนนน้อยกว่า อายุการใช้งานยาวนานกว่า ความร้ัอนสะสมสน้อยกว่า ทรงตัวในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงใด้ดีกว่า ความหยืดหยุ่นสูงกว่า ควบคุมบังคับใด้ดีกว่า ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ระยะเบรคสั้นกว่า ความนุ่มนวลในการขับขี่สูงเพราะยางเรเดียลหยืดหยุ่นสูงกว่า
ที่มา : truck2hand.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)